ที่มา: วารสารโคนม ปีที่ 22 ฉบับที่ 4
ผู้เขียน: ผศ.สพ.ญ.ดร.สุณีรัตน์ เอี่ยมละมัย
หากจะกล่าวถึงปัญหาการผสมติดยากในโคนม ปัญหาที่พบสาเหตุการจัดการแก้ไขที่เฉพาะเรื่อง พบว่าไม่มีความแตกต่างไม่ว่าจะเกิดในต่างประเทศหรือพบในประเทศไทย แต่การแก้ไขอย่างครบวงจรเป็นเรื่องยากง่ายต่างกันขึ้นกับโครงสร้างการผลิตโคนมและพื้นฐานการรองรับในประเทศหรือพื้นที่นั้นๆ แม้ว่าสภาพการเลี้ยงในประเทศไทยมีข้อจำกัดที่มีผลต่อการผสมติดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น สภาพอากาศที่ร้อนชื้น แต่เกษตรกรสามารถจัดการฟาร์มเพื่อให้โคลดความเครียดจากความร้อนเพื่อการผสมติดได้ในระดับหนึ่ง ข้อจำกัดในการจัดหาอาหารหยาบคุณภาพดี ราคาเหมาะสม มีวิธีปรับประยุกต์อาหารเพื่อให้โคได้โภชนะที่เหมาะสมต่อการผลิตและการผสมติด โดยให้มีปัญหาสุขภาพเนื่องจากอาหารให้น้อยที่สุด เช่น พยายามจัดรูปแบบการให้อาหารเป็นแบบอาหารข้นผสมอาหารหยาบในสัดส่วนเหมาะสม การใช้ข้อมูลฟาร์มเพื่อการจัดการสุขภาพโค เกษตรกรสามารถทำหน้าที่บันทึกข้อมูลที่ถูกต้องทั้งการผสมพันธุ์ การรักษา และมีข้อมูลการผลิตน้ำนมรายตัวนำมาวิเคราะห์ร่วมกับนักส่งเสริมในพื้นที่ เพื่อนำมาใช้ในการจัดการแก้ไขปัญหาในฟาร์ม การผลิตโคนมในสภาพการเลี้ยงในประเทศไทยมีข้อจำกัดอยู่มากและมีหลายขั้นตอนที่เมื่อเกษตรกรให้ความสำคัญ แล้วจะช่วยลดต้นทุนการผลิตน้ำนมลงได้ ทุกข้อจำกัดล้วนเป็นข้อจำกัดที่มีแนวการแก้ไขทั้งสิ้น เพียงเกษตรกรมองว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหาสำคัญของฟาร์มที่ต้องแก้ไขและต้องลงมือแก้ไขทันที
ปัญหาทางการสืบพันธุ์เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการผลิตของฟาร์มสูง การดูแลให้มีการจัดการที่ถูกต้องเพื่อป้องกันและการเข้าใจปัญหา จากนั้นทำการแก้ไขให้เร็วจะช่วยลดความสูญเสียได้ เอกสารนี้จะเน้นการจัดการปัญหาทางการสืบพันธุ์แนวทางป้องกันแก้ไขและการเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพโดยรวมในการจัดการฟาร์มที่มีผลโดยตรงและโดยอ้อมมาสู่ประสิทธิภาพการสืบพันธุ์
ปัญหาทางระบบสืบพันธุ์ที่พบบ่อยและการป้องกันแก้ไข
1. การแก้ไขปัญหาผสมติดยาก
การตรวจสัดที่ดี
เกษตรกรควรตรวจสัดช่วงเช้า ตอนโคเดินเข้ามารีดนมช่วงเช้าและช่วงเย็น และช่วงหัวค่ำ โดยแต่ละครั้งควรนาน 20 ถึง 30 นาที พื้นที่ที่โคพักควรเป็นพื้นที่เรียบไม่แข็ง ไม่ควรมีก้อนหินขรุขระ และให้อยู่รวมในฝูงไม่แยกเดี่ยว โคที่ยืนนิ่งให้โคตัวอื่นปีนเป็นโคที่เป็นสัดจริง เวลาที่เหมาะสมในการผสมมากที่สุด คือ ช่วง 12 ถึง 16 ชม. หลังโคเริ่มยืนนิ่งเป็นสัด สำหรับสาเหตุที่ทำให้การจับสัดในฟาร์มผิดพลาดมากคือ
- สภาพโรงเรือน พื้นคอกพักที่ไม่เหมาะสม ทำให้โคแสดงอาการเป็นสัดได้ไม่ชัดเจน
- หมายเลขประจำตัวโคไม่ชัดเจน
- ความผิดพลาดของการบันทึกอาการโคที่ใกล้เป็นสัดและอาการโคที่เป็นสัดจริง
- มีการตรวจการเป็นสัดไม่เพียงพอ อาจเป็นเพราะเจ้าของฟาร์มมีงานมาก หรือไม่มีเวลา หรือให้ความสำคัญในการจับสัด หรือไม่นำวิธีการอื่นๆ เข้าช่วยการจัดการจับสัดโคในฝูง
เทคนิคการผสมเทียมที่ดีช่วยเพิ่มการผสมติด
การผสมเทียม ต้องทำอย่างสะอาดถูกต้อง ทั้งการละลายน้ำเชื้อและการบรรจุปืนฉีดน้ำเชื้อ ที่สำคัญน้ำเชื้ออสุจิต้องมีคุณภาพดี และเกษตรกรควรทราบประวัติพันธุกรรมของพ่อโค ด้วยเป็นการปรับปรุงพันธุ์โคในฝูงและต้องไม่เป็นทางแพร่โรคทางการสืบพันธุ์ โคควรถูกตรวจท้องหลังผสม 60 วัน บันทึกการท้องและกำหนดคลอด
ประเมินประสิทธิภาพการผสมเทียม
ลงบันทึกข้อมูลการผสมเทียมทุกครั้ง ทั้งวันที่ผสมและชื่อพันธุ์ที่ใช้
- โคสาวควรเป็นสัดและผสมติดที่อายุ 15 ถึง 18 เดือน น้ำหนักประมาณ 280 ถึง 300 กิโลกรัม คลอดลูกตัวแรกที่อายุไม่เกิน 27 ถึง 30 เดือน
- แม่โคหลังคลอดควรเป็นสัดและได้รับการผสม 60 วันหลังคลอด โคส่วนใหญ่ในฝูงควรผสมติดภายใน 100 วันหลังคลอด
ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการผสมติดคือ
- การทำการผสมเทียมในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งขึ้นกับการจับสัดที่ถูกต้อง
- เทคนิคการผสมเทียมที่ถูกต้องสะอาดและการเก็บรักษาคุณภาพน้ำเชื้อแช่แข็ง โดยเฉพาะเกษตรกรที่ทำการผสมเทียมเอง
- สภาวะอาหารและสุขภาพความสมบูรณ์ของแม่โคและโคสาว ณ เวลาที่ทำการผสมเทียม และภายหลังการผสมเทียม
- การที่มดลูกเข้าอู่สมบูรณ์ไม่มีการติดเชื้อในมดลูกและมีความพร้อมที่จะรับการตั้งท้อง โดยเฉพาะในการผสมครั้งแรก
2. มดลูกอักเสบ
2.1 มดลูกอักเสบเฉียบพลัน
ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในระยะแรกหลังคลอดภายใน 7วัน มักพบในแม่โคที่มีปัญหาคลอดยากต้องมีการช่วยคลอดโดยดึงลูกออก ลูกตายเริ่มเน่าขณะช่วยดึงออกหรือมีปัญหารกค้างมดลูกทะลัก หลังคลอดแม่โคอาจแสดงอาการเบ่งเป็นระยะ พบของเหลวที่มีกลิ่นเหม็นเน่าออกจากช่องคลอดสีน้ำเลือดและอาจพบช่องคลอดอักเสบร่วม การตรวจร่างกายพบว่าแม่โคมีไข้ชีพจรสูงขึ้น อัตราหายใจเร็วขึ้น ต้องแยกให้ออกจากอาการของเต้านมอักเสบ ปอดอักเสบ ให้ทำการตรวจทางทวารหนักอย่างนุ่มนวล ตรวจประเมินการเข้าอู่ของมดลูกและลักษณะมดลูกว่าขนาดเท่าใดมีของเหลวภายในมากเพียงใด
การรักษา
ให้ยาชาเฉพาะที่โคนหางเพื่อให้แม่โคลดการเกร็งเบ่งขับของเสียในมดลูก ให้ยาปฏิชีวะที่ออกฤทธิ์กว้างทางระบบร่วมกับให้ทางมดลูก ให้สารน้ำและยาลดไข้ลดอักเสบกรณีมีไข้สูง และให้การดูแลพยาบาลที่ดี
พยากรณ์โรค
แม่โคที่มีการติดเชื้อและสร้างสารพิษเข้าทางระบบอาจตายได้ ในรายที่ตอบสนองการรักษาอาการจะดีขึ้นภายใน 24 ชม. และให้ทำการตรวจช่องคลอดและล้างมดลูกแม่โคที่มีปัญหามดลูกอักเสบหลังคลอดมักพบว่าเป็นมดลูกอักเสบเรื้อรังตามมา
2.2 มดลูกอักเสบเรื้อรังและมดลูกเป็นหนอง
พบในโคบางรายเคยเป็นมดลูกอักเสบเฉียบพลันมาก่อน ส่วนใหญ่มดลูกไม่สามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนที่ติดมาในระยะคลอดลูกออกได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียเข้าช่องคลอดจำนวนมากเกินกว่าแม่โคจะทำการกำจัดเชื้อได้เองโดยธรรมชาติ มักพบมากในแม่โคมีปัญหารกค้างหลังคลอด มดลูกเข้าอู่ช้า มีการกลับมามีวงจรการเป็นสัดหลังคลอดช้า มีเนื้อเยื่อเสียหายขณะคลอด หรือระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ในฟาร์มที่พบแม่โคมีปัญหามดลูกอักเสบสูงในบางปี น่าเป็นผลจากการจัดการขณะคลอดไม่สะอาด และอาจเป็นผลร่วมจากวิตามินแร่ธาตุในอาหารไม่สมดุล
อาการ
แม่โคไม่แสดงอาการมีไข้ การกินอาหารและการให้นมปกติ ตรวจช่องคลอดพบหนองปนเมือกอยู่หน้าช่องคลอด การล้วงตรวจทางทวารหนักพบว่ามีปีกมดลูกขนาดใหญ่กว่าขนาดที่ควรเป็น การเข้าอู่ช้ากว่าปกติ และรู้สึกว่ามดลูกมีลักษณะบวม ในบางรายมดลูกขยายใหญ่มาก มีหนองอยู่ภายในผนังมดลูกหนา เป็นลักษณะมดลูกเป็นหนอง รังไข่อาจยังไม่เริ่มทำงาน หรือบางตัวอาจเริ่มมีวงรอบแล้ว
การแก้ไขรักษา
ในรายที่แม่โคมีคอร์ปัสลูเทียมในรังไข่ให้สารโปรสตาแกลนดินเพื่อสลายคอร์ปัสลูเทียม และทำให้แม่โคเป็นสัดเพื่อให้คอมดลูกเปิดและขับหนองออกแล้วจึงทำการล้างมดลูก ทำการล้างมดลูกใช้ยาปฏิชีวนะในขนาดเดียวกับขนาดรักษา เป็นยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้าง เช่น ออกซิเตตร้าไซคลิน 1 ถึง 3 กรัม โดยต้องงดส่งนมตามกำหนด และให้ยาปฏิชีวนะออกฤทธิ์กว้างเข้าทางระบบด้วย
ผลต่อความสมบูรณ์พันธุ์
พบว่าการเป็นมดลูกอักเสบจะมีผลให้แม่โคมีความสมบูรณ์พันธุ์ต่ำลงระยะห่างการตกลูกยาวขึ้นแม่โคบางตัวอาจเป็นหมันด้วยมีความเสียหายของมดลูกและท่อนำไข่อาจมีผลทำให้แม่โคบางตัวไม่แสดงอาการเป็นสัด
3. รกค้าง
รกคือเนื้อเยื่อส่วนของลูกที่เกาะกับผนังมดลูกของแม่โคในโคการเกาะติดเป็นแบบคล้ายเม็ดกระดุม โดยปกติส่วนเยื้อหุ้มตัวลูกหรือรก จะถูกขับออกจากตัวแม่ภายใน 3 ถึง 8 ชม. หลังคลอดลูกมีขบวนการคือ หลังจากที่ลูกถูกขับออกไปเมื่อคลอด สายสะดือขาดและไม่มีเลือดมาเลี้ยงถุงหุ้มตัวลูก เลือดที่เคยมาเลี้ยงตัวลูกจำนวนมากจะลดลงอย่างมากทันที ส่วนของแม่จะมีขนาดเล็กลงเพราะเลือดมาเลี้ยงลดลงเช่นกัน โดยรูปร่างกระดุมจะเปลี่ยนจากรูปรีเป็นทรงกลม ช่วยให้เนื้อเยื่อส่วนของลูกหลุดออกจากกระดุมได้ง่ายขึ้นระหว่างการบีบตัวของมดลูกหลังคลอด น้ำหนักของรกเองจะช่วยให้รกหลุดตกออกจากมดลูกได้ดีขึ้น การที่รกค้างอยู่ในมดลูกหลุดออกมาช้ากว่า 12 ชั่วโมงหลังคลอด มักมีความผิดปกติในขบวนการลอกหลุดของเนื้อเยื่อยึดเกาะระหว่างแม่และลูกภาวะรกค้างจะพบมากในโคมากกว่าในสัตว์ชนิดอื่นๆรกค้างจะเป็นสาเหตุเกี่ยวเนื่องนำไปสู่ปัญหาโคมดลูกอักเสบมดลูกเป็นหนองโดยมักเกิดในขบวนการคลอดที่ไม่ปกติทำให้เกิดรกค้างตามมาและเป็นสิ่งโน้มนำให้มีการติดเชื้อเข้าสู่มดลูกซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้แม่โคมีปัญหาความไม่สมบูรณ์พันธุ์และผสมติดยาก อัตราการตายต่ำประมาณ 1 ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ แต่พบปัญหามดลูกอักเสบ น้ำนมลด ผสมติดยากตามมา โดยอัตราการเกิดสูงมากในระดับ 20, 50 หรือถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นกับการจัดการในขณะคลอด และภาวะสมดุลของอาหาร วิตามินแร่ธาตุในฟาร์ม
การแก้ไขและรักษา
ใช้วิธีตัดส่วนที่ห้อยออกจากปากมดลูกให้สั้นที่สุดแล้วให้ยาปฏิชีวนะทางช่องคลอดเข้าในมดลูกทำการสอดเข้าในมดลูกให้ลึกและต้องทำอย่างสะอาดที่สุด แนะนำการให้ยาปฏิชีวนะออกซิเตตร้าไซคลินขนาด 1 ถึง 3 กรัม เข้าในมดลูก จะช่วยลดการอักเสบและติดเชื้อได้ดี แต่จะมีการตกค้างของยาปฏิชีวนะลงในน้ำนม 24 ถึง 48 ชม. ที่จะต้องงดส่งนม กรณีที่แม่โคมีอาการป่วยแทรกซ้อน ต้องให้การรักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะทางระบบ การให้ยาลดไข้และยาอื่นๆ ที่เหมาะสมตามอาการของโค รกที่เหลือค้างอยู่จะหลุดออกเองได้ภายใน 10 ถึง 15 วัน โคที่ไม่ปลดรกพบว่ามีอัตราการผสมติดและความสมบูรณ์พันธุ์ดีกว่าโคที่ปลดรกไม่แนะนำให้ทำการปลดด้วยมือด้วยจะเกิดความชอกช้ำในมดลูก มีผลให้เกิดการเสียหายมดลูกอักเสบและผสมติดยากตามมา
การควบคุมและป้องกัน
การเสริมไวตามินและแร่ธาตุ
มีรายงานการเสริมไวตามินเอ อี ซีลีเนียม ในระยะก่อนคลอดทั้งแบบผสมอาหารและแบบฉีดพบว่า ลดอุบัติการณ์การเกิดรกค้างได้ด้วยสารเหล่านี้เป็นสารต้านอนุมูอิสระ จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น ช่วยลดการติดเชื้อและการอักเสบได้ ระดับไวตามินอีที่แนะนำผสมในอาหารเป็น 400 ถึง 1,000 มก.ต่อวัน แบบฉีดเข้ากล้าม 7 ถึง 14 วันก่อนคลอด แนะนำให้ใช้ขนาด 680 ถึง 3,000 มก.ต่อวัน มีรายงานการให้ไวตามินอีร่วมกับซีลีเนียม พบว่า ให้ผลในการป้องกันรกค้างได้ดีกว่าการให้ไวตามินอีอย่างเดียว โดยขนาดที่แนะนำให้เสริมในอาหารคือไวตามินอี 400 ถึง 800 ไอยู./วันร่วมกับซีลีเนียม 3 ถึง มก./วัน
การจัดการในฟาร์ม
มีการจัดการขณะคลอดให้สะอาดลดการติดเชื้อเข้าช่องคลอดมีคอกพักรอคลอดเป็นสัดส่วนแห้งและสะอาดมีการจัดการโคในฟาร์มให้ปลอดจากโรคทางการสืบพันธุ์โดยเฉพาะโรคแท้งติดต่อต้องปลอดโรคในฝูงเพื่อลดปัญหาแท้งและเกิดรกค้างตามมาทำการป้องกันการเกิดโรคไข้น้ำนมเช่นปรับสูตรอาหารมนระยะพักรีดนมเช่นให้สัดส่วนแคลเซียมลดลงการให้ไวตามินดีก่อนคลอดการจัดการอาหารให้สมดุลในระยะใกล้คลอดและหลังคลอดการไม่ให้แม่โคอ้วนเกินไปในระยะพักรอคลอด
4. โรคถุงน้ำในรังไข่
ถุงน้ำในรังไข่เป็นความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ที่พบได้บ่อยในโค โดยมีรายงานพบได้มากในโคนมนับเป็นโรคที่นำความสูญเสียทางเศรษฐกิจในฟาร์มโคนมที่สำคัญโรคหนึ่ง รังไข่ที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคถุงน้ำในรังไข่ คือรังไข่ที่มีลักษณะกระเปาะที่มีของเหลวที่ขนาดใหญ่กว่าไข่ (ฟอลลิเคิล) ที่โตเต็มที่ก่อนตกในวงรอบการเป็นสัดตามธรรมชาติ (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากว่า 2.5 ซม.) อาจมี 1 ใบ หรือมากกว่าก็ได้ ซึ่งลักษณะโครงสร้างนี้คงอยู่ได้นานกว่า 10 วัน และมีผลทำให้ระบบสืบพันธุ์ทำงานผิดไปจากปกติ ถุงน้ำในรังไข่ เป็นผลจากการไม่ตกไข่ตามปกติของฟอลลิเคิลที่เจริญเต็มที่ เป็นผลให้ไม่มีวงรอบการเป็นสัดตามปกติ ทำให้แม่โคแสดงอาการไม่มีวงรอบการเป็นสัดหรือเป็นสัดบ่อยๆ
สาเหตุโน้มนำ
โรคถุงน้ำในรังไข่มักเป็นผลร่วมกันระหว่างการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ความเครียด การให้ผลผลิตน้ำนมมาก อายุโค และผลจากอาหาร อุบัติการณ์เกิดโรคถุงน้ำในรังไข่พบมากในโคอายุ 4 ถึง 6ปี โดยพบได้น้อยมากในแม่โคท้องแรก และมีความสัมพันธ์กับการให้ผลผลิตน้ำนมโดยแม่โคให้ผลผลิตน้ำนมสูงจะพบการเกิดโรคได้สูงและพบว่า โคที่เคยเป็นโรคนี้ในท้องที่ผ่านมาจะพบการเป็นโรคนี้ได้อีกในท้องต่อไป
การรักษา
ปัจจุบันการรักษาด้วยฮอร์โมนเป็นแนวทางการรักษาที่แนะนำให้ใช้หากโคมีอาการเป็นสัดไม่ปกติให้แจ้งนายสัตวแพทย์ ทำการตรวจรักษาการให้การรักษาเร็วจะเพิ่มโอกาสหายจากโรคได้
การป้องกันโรคถุงน้ำในรังไข่
คัดเลือกสายพันธุ์โคพ่อพันธุ์ญาติพี่น้องของแม่พันธุ์และตัวแม่พันธุ์เองต้องไม่มีประวัติเป็นถุงน้ำในรังไข่ ป้องกันโดยไม่ให้โคอ้วนในระยะพักรีดนม (ไม่ควรมีคะแนนความสมบูรณ์ของรูปร่างมากกว่า 4.0) มีโปรแกรมการล้วงตรวจระบบสืบพันธุ์หลังคลอด 45 ถึง 60 วัน และต้องตรวจโรคทุกตัวที่ไม่แสดงอาการเป็นสัดหลังคลอด 60 วัน หรือเป็นสัดบ่อยๆ เป็นสัดไม่ตรงรอบ เพื่อให้การรักษาได้เร็วช่วยให้การตอบสนองต่อการรักษาได้ดี
5. มดลูกทะลัก ช่องคลอดทะลัก
ส่วนใหญ่จะพบในแม่โคอายุมากภาวะแคลเซียมต่ำในระยะใกล้คลอดหรือขณะคลอด โดยที่แม่โคอาจมีอาการไข้น้ำนมและแม่โคลงนอน หรือบางรายอาจไม่มีอาการของไข้น้ำนมก็ได้ อาจพบในแม่โคที่มีปัญหาคลอดยากโดยเฉพาะมีการช่วยคลอดโดยการดึงลูก พบมากในโคสาวท้องแรกมีประวัติช่องคลอดทะลักก่อนคลอดแล้วพบว่ามีโอกาสเกิดมดลูกทะลักหลังคลอดได้มีปัญหารกค้างแล้วเกิดมดลูกทะลักตามมา
การแก้ไขจัดการ
เจ้าของโคต้องตรวจพบการทะลักและจัดการดูแลให้เร็วที่สุด เมื่อพบว่าแม่โคเกิดมดลูกทะลักโดยแยกแม่โคที่มดลูกทะลักออกจากฝูงให้อยู่คอกเดี่ยวเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดจากโคตัวอื่นที่จะมาดมเลีย กระแทกมดลูกส่วนที่ทะลักออกมา หาผ้าสะอาดที่เปียกมาหุ้มห่อส่วนที่ทะลักออกมาไว้ หากเป็นไปได้ให้พยายามช่วยประคองส่วนที่ทะลักออกมาเพื่อลดการคั่งของเลือดในส่วนนี้จนกว่าสัตวแพทย์จะมาถึง แจ้งสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด ให้ยาชาเฉพาะที่โคนหางเพื่อให้แม่โคลดการเกร็งเบ่งบีบมดลูก ทำความสะอาดมดลูกโดยน้ำเกลือหรือน้ำอุ่นที่สะอาดโดยไม่ผสมยาฆ่าเชื้อด้วยอาจมีฤทธิ์กัดทำลายเนื้อเยื่อมดลูกได้ ตรวจสอบส่วนที่ทะลักออกมาว่ามีการฉีกขาดที่ส่วนใด หากมีให้ทำการเย็บให้เรียบร้อย ช่วยดันมดลูกกลับอย่างนุ่มนวลและมั่นคง กรณีมดลูกหรือช่องคลอดออกมามากและนานอาจบวมน้ำต้องลดการบวมโดยใช้น้ำตาลทราย 2 ถึง 3 กก. โรยส่วนที่ยื่นออกมา จะช่วยลดขนาดและดันกลับได้ง่ายขึ้นหลังดันมดลูกกลับเข้าที่แล้วให้ยาปฏิชีวนะชนิดที่เตรียมเพื่อให้ทางมดลูกผ่านเข้าทางช่องคลอดและให้ยาปฏิชีวนะชนิดออกฤทธิ์กว้างเข้าทางระบบเย็บปิดปากมดลูกโดยวัสดุที่ใช้เหมาะสมให้ทำการตรวจซ้ำหลังการแก้ไข 24 ชม. เอาวัสดุเย็บออกเมื่อแน่ใจว่าขนาดมดลูกเล็กลงและคอมดลูกหดตัวเล็กลงไม่มีโอกาสที่มดลูกจะทะลักกลับมาอีก (ประมาณ 5 ถึง 7 วัน) ให้ติดตามรักษาปัญหามดลูกอักเสบที่อาจพบตามมาได้
การจัดการที่ดีในระยะพักรีดนม หรือระยะรอคลอด และขณะคลอดลูก จะลดปัญหาทางระบบสืบพันธุ์ เช่นระยะพักรอคลอดอย่าให้แม่โคอ้วน (คะแนนความสมบูรณ์รูปร่างน้อยกว่า 4) ปรับอาหารในระยะพักรอคลอดให้สัดส่วนแคลเซียมต่ำลงเพื่อป้องกันปัญหาไข้น้ำนมหลังคลอด ให้วิตามิน เอ ดี อี ก่อนคลอด 2 สัปดาห์ เพื่อช่วยลดปัญหารกค้างและไข้น้ำนมหลังคลอด ขณะรอคลอดคอกพักรอคลอดต้องแห้งสะอาด หากต้องช่วยคลอดให้ทำอย่างสะอาดนุ่มนวลและหากช่วยดึงลูกในช่องคลอดต้องสอดยาปฏิชีวนะเข้าช่องคลอดดูอาการแทรกซ้อน การกินอาหาร การให้น้ำนม ตรวจวัดไข้ และแจ้งสัตวแพทย์หากแม่โคมีอาการผิดปกติ
การจัดการเพื่อให้แม่โคมีประสิทธิภาพทางการสืบพันธุ์ที่ดี
ในฝูงที่มีสถานะความสมบูรณ์พันธุ์ต่ำจะต้องมีการปรับแก้ปัญหา และฝูงที่มีความสมบูรณ์พันธุ์ดีต้องรักษาระดับความสมบูรณ์ให้คงดีตลอดเวลา หัวใจสำคัญในการรักษาให้ความสมบูรณ์พันธุ์อยู่ในระดับดีตลอด คือ การมีข้อมูลที่บันทึกถูกต้องและเป็นปัจจุบันมากที่สุด มีการค้นหาโคที่มีปัญหาเพื่อทำการรักษาแก้ไข การตรวจแม่โคอย่างสม่ำเสมอ และติดตามผลการรักษาในโคที่มีปัญหาความสมบูรณ์พันธุ์ ประสิทธิผลของการจัดการจะได้เมื่อมีการนำไปปฏิบัติโดยมีบุคลากรในฟาร์มงานร่วมกันคือ เกษตรกรเจ้าของฟาร์ม หรือผู้จัดการฟาร์มที่มีความกระตือรือร้นและความรับผิดชอบสูง ทำงานร่วมกับนายสัตวแพทย์ และผู้ผสมเทียมในฟาร์มโคที่ต้องทำการตรวจระบบสืบพันธุ์และสุขภาพ การค้นหาโคที่มีปัญหาสุขภาพ หรือปัญหาทางการสืบพันธุ์ได้เร็ว จะช่วยการลดการสูญเสียจากการผสมติดยากได้ ประวัติโคเหล่านี้ได้จากบันทึกของฟาร์ม โคที่มีประวัติต่อไปนี้ต้องนำมาตรวจ
· โคที่มีปัญหาคลอดยาก รกค้าง มดลูกอักเสบและมีอาการแทรกซ้อนหลังคลอด ควรทำการตรวจระบบสืบพันธุ์หลังคลอด
· โคที่มีเมือกที่ผิดปกติออกมาจากช่องคลอด เช่น หนอง เมือกขุ่น เป็นต้น
· โคที่แท้ง
· โคที่แสดงการเป็นสัดบ่อย เป็นสัดไม่ปกติ ไม่ตรงรอบ
· โคที่ตรวจไม่พบว่าการเป็นสัด 42 วันหลังคลอด และยังไม่ถูกผสม 63 วันหลังคลอด
· โคที่ผสมแล้ว 42 วัน ไม่กลับเป็นสัด โคอาจท้องหรืออาจเป็นสัดแล้วตรวจไม่พบ หรือมีความผิดปกติอื่นๆ
· โคไม่เป็นสัดหลังคลอด อาจเนื่องจากรังไข่ไม่ทำงาน หรือตรวจการเป็นสัดไม่ได้
· โคที่ผสมซ้ำมากกว่า 5 ครั้ง
· โคที่เคยตรวจว่าท้องแล้ว แต่แสดงอาการเป็นสัดในภายหลัง
· โคสาวที่ไม่สัดเมื่ออายุมากกว่า 15 เดือน
ควรมีการประเมินประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ของโคในฝูง อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้ทราบว่าการจัดการฟาร์มอยู่ในเกณฑ์ระดับใด ต้องเร่งหาสาเหตุและทำการแก้ไขที่ด้านใดก่อน โปรแกรมการจัดการฝูงโคเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มการผลิตในฟาร์มได้
ดัชนีบ่งชี้ประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ของฟาร์มโคนม
โดยทั่วไปของวงจรชีวิตแม่โคมักจัดโดยสถานภาพการให้นมและการสืบพันธุ์ จะมีการหมุนเวียนเป็นวงจรนับจากวันคลอด ให้ผลผลิตน้ำนม ผสมพันธุ์ หยุดรีดนม พักท้องและคลอดโคที่มีประสิทธิภาพสูงจะสามารถให้ลูกปีละ 1 ตัว และเดินทางตามวงจรชีวิตอย่างสม่ำเสมอการประเมินศักยภาพการผลิตโดยมีค่าดัชนีการผลิตเข้าชี้วัดจะช่วยให้เกษตรกร นักส่งเสริม นายสัตวแพทย์ทำงานแก้ไขปัญหาได้ตรงกับสาเหตุ และทราบว่าสถานภาพของฟาร์มเป็นอย่างไร จึงควรนำข้อมูลฟาร์มมาใช้ประกอบการจัดการฟาร์มและการจัดการการสืบพันธุ์
ดัชนีบ่งชี้ประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ของฟาร์มโคนม (ค่าเฉลี่ยฝูง) ที่ควรเป็น คือ
· อายุการผสมพันธุ์ในโคสาว น้ำหนักตัวมากกว่า 280 ถึง 300 กก. อายุ 15 เดือนขึ้นไป
· โคสาวคลอดท้องแรกอายุไม่เกิน 27 ถึง 30 เดือน
· ระยะพักท้องหลังคลอด 40 ถึง 45 วัน (มดลูกเข้าอู่)
· จำนวนโคที่เป็นสัดหลังคลอดภายใน 60 วัน มากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์
· ระยะวันเฉลี่ยหลังคลอดถึงวันผสมครั้งแรกไม่เกิน 70 วัน
· ระยะวันเฉลี่ยหลังคลอดถึงวันผสมติดไม่เกิน 90 วัน
· จำนวนโคตั้งท้องเมื่อตรวจท้องที่ 45 – 60 วัน หลังผสมมากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์
· โคผสมมากกว่า 3 ครั้ง น้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์
· อัตราผสมติดครั้งแรกหลังคลอดมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์
· ระยะห่างระหว่างวันผสม
§ น้อยกว่า 4 วัน จำนวนโคที่พบควรน้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์
§ 5 ถึง 17 วัน จำนวนโคที่พบควรน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์
§ 18 ถึง 24 วัน จำนวนโคที่พบควรน้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์
§ มากกว่า 24 วัน จำนวนโคที่พบควรน้อยกว่า 25 เปอร์เซ็นต์
§ เปอร์เซ็นต์โคที่ไม่ตั้งท้องนานมากกว่า 120 วัน หลังคลอด ไม่ควรเกิน 10 เปอร์เซ็นต์
§ ระยะห่างการตกลูกเฉลี่ย 12 เดือน
§ การคัดทิ้งเนื่องจากปัญหาความสมบูรณ์พันธุ์น้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์
§ อัตราการแท้งในฝูงน้อยกว่า 3 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ค่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นในฟาร์มโคนมที่กล่าวข้างต้น เป็นค่าที่ต่างประเทศใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินประสิทธิภาพในฟาร์ม ในบางประเทศอาจมีค่าต่างบ้างแต่ดัชนีหลักๆ แล้วจะเป็นค่าใกล้เคียงกับที่กล่าวข้างต้น ในประเทศไทยค่าจะเบี่ยงเบนออกในทางที่แสดงว่าประสิทธิภาพการผลิตต่ำกว่าเกณฑ์ข้างต้นอาจเนื่องจากระบบการเลี้ยงฟาร์มรายย่อย เกษตรกรไม่คัดโคที่ไม่ให้ผลผลิตออกจากฝูง การบริการสุขภาพและการสืบพันธุ์ยังทำได้ไม่ครอบคลุมเป็นโปรแกรมสม่ำเสมอด้วยเกษตรกรไม่เข้าใจและไม้ให้ความสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพการผลิตและการจัดการฟาร์มในเชิงการป้องกันและเฝ้าระวัง ผลตอบแทนจากอาชีพและระบบราคาน้ำนมยังไม่จูงใจให้คำนึงถึงประสิทธิภาพการผลิตมากเท่าในต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดที่บุคลากรที่ชำนาญงานด้านนี้ยังมีจำนวนจำกัด โดยเฉพาะระดับนายสัตวแพทย์